วันจันทร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2555

วิธีการค้นหาข้อมูลของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ


ขั้นตอนวิธีการค้นหาข้อมูล มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ

แบบที่ 1 ค้นหาทั่วไป
1.เข้าไปที่ http://lib.rmutk.ac.th/



2.พิมพ์ keyword สำคัญที่ต้องการค้นหา แล้วคลิกที่ ค้นหา


3.จะปรากฏหน้าอีกหน้าหนึ่งขึ้นมาจะมีข้อมูลที่เราต้องการค้นหาอยู่


แบบที่ 2 ค้นหาขั้นสูง
1.เข้าไปที่ http://lib.rmutk.ac.th/AdvancedSearch.aspx


2.พิมพ์ keyword สำคัญที่ต้องการค้นหา แล้วคลิกที่ ค้นหา

3.จะปรากฏหน้าอีกหน้าหนึ่งขึ้นมาจะมีข้อมูลที่เราต้องการค้นหาอยู่

ผลที่ได้จากการค้นหาแบบที่ 1 คือจะพบข้อมูลน้อย

ผลที่ได้จากการค้นหาแบบที่ 2 คือจะพบข้อมูลได้มากกว่าแบบที่ 1 

อ้างอิง : http://lib.rmutk.ac.th/BasicSearch.aspx










วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2555

การออกแบบฐานข้อมูล


การออกแบบฐานข้อมูล (Database Design) 

            ฐานข้อมูลเป็นเรื่องสำคัญสำหรับระบบงานสารสนเทศที่ใช้คอมพิวเตอร์ประมวลผลในปัจจุบัน ในการออกแบบระบบสารสนเทศปัจจุบันก็มีการพัฒนาเทคโนโลยีกันอย่างมากมาย โดยจะมีระบบการออกแบบที่เป็นที่นิยมใช้กันมากในปัจจุบันเรียกว่า Relational Model 

      ฐานข้อมูลแบบสัมพันธ์(Relational Database) หนึ่งฐานข้อมูล สามารถบรรจุได้หลายตาราง จึงทำให้เกิดคำถามว่า ควรจะมีตารางเป็นจำนวนเท่าใด และมีฟิลด์อะไรบ้างที่อยู่ในแต่ละตาราง คำตอบที่จะได้เป็นพื้นฐานในการออกแบบฐานข้อมูล การออกแบบที่ดีจะทำให้ฐานข้อมูลง่ายต่อการใช้งาน และมีความยืดหยุ่น เช่นเดียวกับหลายๆ สิ่งในชีวิต ในการออกแบบฐานข้อมูลเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ หมายความว่า คุณสามารถออกแบบฐานข้อมูลได้ทั้งแบบอย่างไม่มีแบบแผน โดยใช้ประสบการณ์ หรือจะใช้การออกแบบอย่างมีแบบแผนก็แล้วแต่ แต่การขบคิดอย่างไม่มีแบบแผน(Informal) มักจะเป็นวิธีการอันดับแรกที่ใช้กัน 

การออกแบบอย่างไม่เป็นแบบแผน (Informal Design Database) 
รายละเอียดตามขั้นตอนต่อไปนี้ จะพูดถึงแต่ละขั้นตอน ซึ่งวิธีการนี้จะใช้ในการออกแบบฐานข้อมูลให้ใช้งานได้ และนักออกแบบฐานข้อมูลมักใช้ในการเริ่มการออกแบบในงานจริง แต่สำหรับการออกแบบอย่างมีหลักการนั้นจะใช้ไว้ตรวจสอบการออกแบบอย่างไม่มีแบบแผนมากกว่าที่จะใช้ในการเริ่มต้นการออกแบบ 
     1. กำหนดกลุ่มข้อมูลที่จะจัดเก็บหลักในโปรแกรมประยุกต์ขึ้นมา 
ในทุกโปรแกรมประยุกต์จะเกี่ยวข้องกับ จำนวน Entities ที่เป็นหัวเรื่องที่เกี่ยวข้องกัน, คุณสมบัติและความสัมพันธ์ของ Entity เป็นพื้นฐานไปสู่โปรแกรมประยุกต์ เช่น
• งานระบบบันทึกเวลาในห้องเรียน มี อาจารย์, นักเรียน, ห้องเรียน, หลักสูตร, และ ภาคการเรียน 
• งานระบบตั๋วเครื่องบิน มี ลูกค้า, กลุ่มสมาชิก, ไฟลท์, เครื่องบิน, ที่นั่ง, สนามบิน, ประตูทางเข้า
• กลุ่มกีฬา มี ผู้เล่น, ทีม, สถานที่แข่ง, ตารางการแข่งขัน, สถิติการแข่งขัน, ผู้ฝึกนักกีฬา, กรรมการผู้ตัดสิน 
• ระบบการสั่งซื้อ มี ลูกค้า, ใบสั่งซื้อ, รายการการสั่งซื้อ, บิลของจำนวนการส่ง, จำนวนการส่งของแต่ละรายการ, ใบส่งของลูกค้า, รายการของใบส่งของลูกค้า, รายการในสต็อก, คลังสินค้า, ผู้จัดส่ง, ใบจัดซื้อ, รายการในใบจัดซื้อ, ใบรับสินค้า, รายการของใบรับสินค้า, ใบผู้จัดซื้อ, รายการของผู้จัดซื้อ 

    2. การสร้างตารางสำหรับแต่ละกลุ่มข้อมูลที่จะจัดเก็บ 
ขั้นต่อไปเริ่มต้นสร้างตารางสำหรับ Entities หลัก ในโปรแกรมประยุกต์ของคุณ สามารถทำในกระดาษ ,ในแฟ้มอิเล็คทรอนิคใดก็ได้ หรือใน DBMS ได้แก่ Access หรือ SQL Server ในจุดนี้ก็ไม่สำคัญนัก แต่ควรกำหนดให้ในตารางแต่ละตารางมีชื่อสั้นๆ ง่ายต่อการจำและการเรียก ตัวอย่าง เช่น ถ้าสร้างตารางกำหนดและบรรยาย ตารางข้อมูลสินค้า ที่ไว้ขาย อาจจะให้ชื่อว่า Products 

    3. เลือกคีย์ที่ใช้เป็นคีย์หลัก 
สำหรับแต่ละตารางของที่ได้ถูกสร้างขึ้นมา ให้กำหนดฟิลด์ฟิลด์หนึ่ง หรือมากกว่า ในการบ่งบอกเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละ Record ในตาราง เรียกฟิลด์ดังกล่าวของตารางนั้น ว่า คีย์หลัก หรือ Primary key โดยกำหนดว่าฟิลด์ที่เป็น Primary key นั้นไม่สามารถว่างได้ และข้อมูลที่อยู่ในฟิลด์ที่เป็น Primary key ของทุก ๆ Record จะต้องไม่ซ้ำกัน หากมีการร้องขอข้อมูลโดยระบุค่าของ Primary key ไปจะต้องได้ข้อมูลที่มี Primary Key นั้นเพียง 1 Record เท่านั้นจะเกิน 1 Record ไม่ได้. 
     
    4. การเพิ่มหัวข้อของข้อมูลให้กับตารางหลักแต่ละตาราง 
มาเริ่มต้นขั้นตอนนี้กัน ด้วยแนวคิดเกี่ยวกับข้อมูลของโปรแกรมประยุกต์ที่ต้องการรู้ข้อมูลใน entity หลักแต่ละตัว ที่ได้กำหนดไว้(หมายถึงในแต่ละตาราง) ตาราง customers อาจจะมีฟิลด์ customer number, name, street address, city, state, country, postal code, e-mail address, phone number, fax number เป็นต้น 
  
   5. การสร้างตารางเพิ่มเติมสำหรับ attribute ที่ซ้ำ ๆ กัน 
ขณะที่เพิ่ม attributes ของ entity อาจจะพบว่า ในแต่ละ primary key อาจมี attribute ได้มากกกว่าหนึ่ง ตัวอย่างเช่น อาจจะพบว่า ห้องเรียนหนึ่งห้องอาจจะมีผู้สอนได้หลายคน ในระบบงานโฆษณา 1 งาน มีเอเจนซี่ได้หลายคน 
การแก้ปัญหาอย่างหนึ่ง แม้จะไม่สมบูรณ์นัก คือการกำหนดฟิลด์ในตาราง members ขึ้นมาใหม่ ได้แก่ committee1, committee2, committee3 อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหาดังกล่าว มีปัญหาเกิดขึ้นได้ 3 ประการ 

    1. ฟิลด์ committee ที่สร้างขึ้นนั้นอาจว่างได้ ในบาง record ของตาราง members ฟิลด์ที่ว่าง ชี้ให้เห็นว่า จัดการบางสิ่งได้ไม่ถูกต้อง 
     2. การที่มีฟิลด์ committee หลายฟิลด์ใน record เดียวกันนั้นทำให้ยากต่อการ select, project และ join ด้วยฟิลด์ committee คุณควรจะใช้ฟิลด์ไหน ในฟิลด์ committee 3 ฟิลด์นี้ และจะถูกเก็บในลักษณะใด 
     3. ถ้า member บาง record มีกรรมการ 4 คนจะทำอย่างไร กับ committee ที่4 ล่ะ (ฐานข้อมูลจะไม่เหมาะแล้วเพราะกำหนดตอนแรกไว้ 3 ฟิลด์) 
การแก้ปัญหาที่ดีกว่า คือ การสร้างตาราง committee membership ซึ่งบรรจุด้วย record หนึ่ง สำหรับแต่ละสมาชิก อีกฟิลด์หนึ่งสำหรับแต่ละ committee ดังนั้นตารางที่ได้อาจจะมี primary key ได้ 2 ฟิลด์ คือ committee และ memberid การออกแบบเช่นนี้เป็นการยืดหยุ่น เพราะว่าสนับสนุนแนวคิดที่ว่า สมาชิก 1 คน มีกรรมการได้ตั้งแต่ 0 คนจนถึง หลายคน และ กรรมการ 0 คนถึงหลายคนมีสมาชิกได้หลายคน หากมีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสมาชิกกับกรรมการโดยเฉพาะ เช่นวันที่เข้าร่วม ก็จะสามารถจัดการข้อมูลได้ง่าย 
   
     6. ต้องแน่ใจว่าแต่ละฟิลด์นั้นได้กำหนดคีย์หลักเหมาะสมแล้ว 
การออกแบบในขั้นตอนนี้ ควรจะทบทวนแต่ละฟิลด์ในแต่ละตาราง และตรวจสอบฟิลด์ที่เป็น Primary key ของตารางนั้นเหมาะที่จะเป็น primary key หรือไม่ 
    7. พิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างตาราง 
ในขั้นตอนสุดท้ายนี้ ทบทวนตารางทั้งหมดในฐานข้อมูลที่คุณสร้าง ระบบความสัมพันธ์ระหว่างตารางซึ่งคุณคิดไว้แล้วว่าจะมันมีความสัมพันธ์กันอย่างไร  หัวใจสำคัญ สำหรับขั้นตอนนี้คือ ตรวจสอบฟิลด์ของตารางที่คุณจะใช้ในการเชื่อมกัน ว่าจะเป็นฟิลด์ใดซึ่งโดยปกติแล้วคุณสามารถใช้ คีย์นั้นในการเชื่อมกันได้เลย 

การออกแบบข้อมูลอย่างเป็นแบบแผน 

 สำหรับขั้นตอนของการออกแบบฐานข้อมูลแบบเป็นทางการให้กับฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ซึ่งกระบวนการจัดการกับฟิลด์ให้กับตารางนั้นจะเรียกว่า นอร์มัลไลเซชั่น (Normalization) โดยจะมีขั้นตอนด้วยกัน 5 ขั้นดังต่อไปนี้ 

ระดับที่ 1 (First Normal Form) 
หนึ่งฟิลด์ในหนึ่งเรคคอร์ดสามารถบรรจุค่าได้ 1 ค่าเท่านั้น สิ่งนี้จะป้องกันกลุ่มข้อมูลซ้ำในหนึ่งเรคคอร์ด 

ระดับที่ 2 (Second Normal Form) 
ทุกๆ attribute ที่ไม่ใช่คีย์ ต้องขึ้นกับฟิลด์ทั้งหมดในคีย์หลัก ซึ่งยังระบุให้สองตารางหรือมากกว่าไม่สามารถใช้คีย์หลักที่เหมือนกันได้ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นคุณควรรวมเข้ามาเป็นตารางเดียวกัน 
ระดับที่ 3 (Third Normal Form) 
ฟิลด์ที่ไม่ใช่คีย์จะต้องไม่ขึ้นกับฟิลด์ที่ไม่ใช่คีย์อื่นในตารางเดียวกัน 

ระดับที่ 4 (Forth Normal Form) 
ห้ามไม่ให้มีความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อกลุ่ม (One-to-Many) ที่ไม่ขึ้นต่อกันระหว่างฟิลด์คีย์หลักและฟิลด์ที่ไม่ใช่คีย์ 

ระดับที่ 5 (Fifth Normal Form) 
รูปแบบนี้ค่อนข้างยุ่งยากและมักจะถูกละเลย โดยจำเป็นต้องมีการแบ่งตารางออกเป็นชิ้นส่วนขนาดเล็กเพื่อขจัดความซ้ำซ้อนทั้งหมด 

การนอร์มัลไลเซชั่น (Normalization) เป็นเสมือนหลักการตรวจสอบมากกว่าวิธีปฏิบัติ เมื่อคุณทำการนอร์มัลไลซ์แล้วตารางตั้งต้นก็อาจจะถูกแตกออกมาเป็นตารางย่อยจำนวนมากก็ได้ ซึ่งจะมีประโยชน์ดังนี้ 
• ไม่มีความซ้ำซ้อน 
• ดูแลรักษาง่าย 
• สามารถเขียนโค้ดควบคุมได้ง่าย 
• ขนาดฐานข้อมูลเล็กลงเนื่องจากไม่ต้องเก็บข้อมูลซ้ำๆ กัน 

ตัวอย่างเช่น 

วิธีสมัครสมาชิก Sanook

เข้าไปที่ http://www.sanook.com และคลิกที่ปุ่ม [สมัครใช้งาน] กรอกข้อมูลส่วนตัวให้ครบ และระบุชื่ออีเมล์ที่ต้องการ



คลิกลิงค์ยืนยันการเป็นสมาชิก




อ้างอิง

 http://office.microsoft.com/th-th/access-help/HA001224247.aspx


www.sanook.com
____________________________________________________________________________________________________
แก้ไขตัวอย่าง การสั่งอาหารออนไลน์













วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ระบบฐานข้อมูล


ระบบฐานข้อมูล (Database System)

          ระบบฐานข้อมูล (Database System) หมายถึง กลุ่มของแฟ้มข้อมูลที่มีความเกี่ยวข้อง
และถูกนำมารวมกัน เช่น ฐานข้อมูลในบริษัทแห่งหนึ่ง อาจประกอบด้วยแฟ้มข้อมูลหลายแฟ้ม
โดยแต่ละแฟ้มมีความเกี่ยงข้องกันเช่น แฟ้มข้อมูลพนักงาน แฟ้มข้อมูลลูกค้า แฟ้มข้อมูล
การขาย แฟ้มข้อมูลสินค้าเป็นต้น ระบบฐานข้อมูลจะประกอบไปด้วย ฐานข้อมูล ระบบจัดการ
ฐานข้อมูลและ Data Dictionary โดยฐานข้อมูลจะเป็นที่จัดเก็บข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
ไว้ด้วยกัน
          ฐานข้อมูล (Database) คือที่อยู่ของข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กัน หรือเปรียบเสมือนเป็นคลัง
ของข้อมูล ซึ่งจะถูกจัดเก็บรวมกันอย่างมีระบบและรูปแบบ ทำให้ง่ายต่อการประมวลผลและ
จัดการ โดยการใช้งานจะต้องมีโปรแกรมเพื่อจัดการฐานข้อมูลที่มีอยู่ซึ่งเรียกว่าระบบจัดการ
ฐานข้อมูล (Database Management System, DBMS) สำหรับฐานข้อมูลที่นิยมมากที่สุดจะเป็น
แบบฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (Relational Database) ซึ่งจะเก็บข้อมูลอยู่ในรูปแบบของตาราง
(Table) โดยข้อมูลในแต่ละตารางจะมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน

    ระบบฐานข้อมูลประกอบส่วนประกอบหลัก4 ส่วนได้แก่

1. ข้อมูล (Data) ข้อมูลในฐานข้อมูลจะต้องมีคุณสมบัติ 2 ประการ คือ
  • เบ็ดเสร็จ (Integrate) ฐานข้อมูลเป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลจากแฟ้มต่าง ๆ ไว้ครบถ้วนสมบูรณ์ เพื่อลดข้อมูลซ้ำซ้อนระหว่างแฟ้ม
  • ใช้ร่วมกันได้ (Share) ข้อมูลแต่ละชิ้นในฐานข้อมูลสามารถนำมาแบ่งใช้กันได้ระหว่างผู้ใช้ต่าง ๆ ในระบบ
2. ฮาร์ดแวร์ (Hardware) ประกอบด้วย อุปกรณ์บันทึกข้อมูลเช่น จานแม่เหล็ก , I/O device , Device controller , I/O channels , หน่วยประมวลผล และหน่วยความจำหลัก
3. ซอฟต์แวร์ (Sorftware) ตัวกลางเชื่อมระหว่างฐานข้อมูลและผู้ใช้คือ DBMS เป็นซอฟต์แวร์ที่สำคัญที่สุดของระบบฐานข้อมูล นอกจากนี้ยังมี Utility , Application Develoment tool , Desisn aids , Report writers , ect.
4. ผู้ใช้ (Users) มี 3 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ
  • Application Programmer เขียนโปรแกรมประยุกต์
  • End Users ผู้ใช้ที่อยู่กับ Online terminal เข้าถึงข้อมูลโดยผ่านโปรแกรมประยุกต์ หรือผ่านภาษาเรียกค้น (Query Language)
Data Addministrator & Database Administrator
ความสำคัญของระบบฐานข้อมูล
      1. ความกะทัดรัด ( Compactness ) การบันทึกข้อมูลลงในระบบคอมพิวเตอร์จะเก็บข้อมูลไว้ได้เป็นจำนวนมากในที่ เดียวกัน อยู่ในสื่ออิเล็กทรอนิกส์ซึ่งประหยัดพื้นที่ ไม่เกะกะอย่างในเอกสาร
ที่เป็นกระดาษ

     2. ความรวดเร็ว ( Speed ) เครื่องคอมพิวเตอร์ในระบบฐานข้อมูลสามารถค้นคืนและปรับปรุงข้อมูลให้เป็น ปัจจุบัน ได้เร็วกว่ามือมนุษย์มาก

     3. ความเบื่อหน่ายน้อยกว่า ( Less Drudgery ) ในการดูแลรักษาแฟ้มข้อมูลที่เป็นกระดาษเป็นงานที่หนักกว่ามากหากเปรียบเทียบ กับแฟ้มข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่อยู่ในระบบฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์

     4. ความถูกต้องเป็นปัจจุบัน ( Currency ) เมื่อหันมาใช้ระบบฐานข้อมูลจะทำให้เรามีข้อมูลที่ถูกต้องและทันสมัย พร้อมที่จะตอบคำถามที่เราต้องการทราบได้ทุกเมื่อ 


ประโยชน์ของระบบการจัดการฐานข้อมูล 
1. ความมีประสิทธิภาพ 
     ระบบการจัดการฐานข้อมูล ช่วยให้การจัดการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุผลมากขึ้น เช่น อธิการบดีต้องการทราบว่าในแต่ละปีมีอาจารย์หรือบุคลากรเกษียณอายุราชการเป็น จำนวนเท่าไร และมีอาจารย์สาขาใดบ้างที่เกษียณ  ในอนาคตมีสาขาใดขาดแคลนหรือไม่ ระบบฐานข้อมูลสามารถให้คำตอบแก่ผู้บริหารได้

2.การสอบถามข้อมูล 
     ระบบบบการจัดการฐานข้อมูลมีภาษาที่ใช้ในการสอบถามสำหรับสอบถามข้อมูลได้ทันทีแม้ว่า โปรแกรมเมอร์ไม่ได้เขียนคำสั่งสอบถามในบางรายการเอาไว้ผู้ใช้ที่มีความชำนาญ สามารถใช้คำสั่งเพื่อให้ได้คำตอบแบบทันทีทันใดได้เช่นกันเช่นในกรณีระบบฐานข้อมูลของผู้ป่วย ถ้าผู้บริหารต้องการทราบจำนวนสถิติของผู้ป่วยที่เกิดอุบัติเหตุจากรถ จักรยานยนต์ว่ามีจำนวนเท่าไรสามารถใช้คำสั่งสอบถามแบบง่าย ๆ ได้ คำสั่งดังกล่าว 


3.การเข้าถึงข้อมูล

      ระบบ การจัดการฐานข้อมูลให้บริการการเข้าถึงข้อมูลได้เป็นอย่างดีมีระบบรักษาความ ปลอดภัยรวมทั้งการจัดการข้อมูลที่ดี เพราะระบบการจัดการฐานข้อมูลมีฟังก์ชันการให้สิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลโดย บุคคลภายนอกไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ ถ้าหากไม่ได้รับสิทธิ์จากผู้บริหารระบบ

                      

4.ลดการเก็บข้อมูลที่ซ้ำซ้อน ข้อมูลบางชุดที่อยู่ในรูปของแฟ้มข้อมูลอาจมีปรากฏอยู่หลาย ๆ แห่ง เพราะมีผู้ใช้ข้อมูลชุดนี้หลายคน เมื่อใช้ระบบฐานข้อมูลแล้วจะช่วยให้ความซ้ำซ้อนของข้อมูลลดน้อยลง เช่น ข้อมูลอยู่ในแฟ้มข้อมูลของผู้ใช้หลายคน ผู้ใช้แต่ละคนจะมีแฟ้มข้อมูลเป็นของตนเอง ระบบฐานข้อมูลจะลดการซ้ำซ้อนของข้อมูลเหล่านี้ให้มากที่สุด โดยจัดเก็บในฐานข้อมูลไว้ที่เดียวกัน ผู้ใช้ทุกคนที่ต้องการใช้ข้อมูลชุดนี้จะใช้โดยผ่านระบบฐานข้อมูล ทำให้ไม่เปลืองเนื้อที่ในการเก็บข้อมูลและลดความซ้ำซ้อนลงได้



5.การป้องกันและรักษาความปลอดภัยให้กับข้อมูลทำได้อย่างสะดวก การป้องกันและรักษาความปลอดภัยกับข้อมูลระบบฐานข้อมูลจะให้เฉพาะผู้ที่ เกี่ยวข้องเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์เข้าไปใช้ฐานข้อมูลได้เรียกว่ามีสิทธิส่วน บุคคล (privacy) ซึ่งก่อให้เกิดความปลอดภัย (security) ของ ข้อมูลด้วย ฉะนั้นผู้ใดจะมีสิทธิ์ที่จะเข้าถึงข้อมูลได้จะต้องมีการกำหนดสิทธิ์กันไว้ ก่อนและเมื่อเข้าไปใช้ข้อมูลนั้น ๆ ผู้ใช้จะเห็นข้อมูลที่ถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูลในรูปแบบที่ผู้ใช้ออกแบบไว้ตัวอย่าง เช่น ผู้ใช้สร้างตารางข้อมูลขึ้นมาและเก็บลงในระบบฐานข้อมูล ระบบจัดการฐานข้อมูลจะเก็บข้อมูลเหล่านี้ลงในอุปกรณ์เก็บข้อมูลในรูปแบบของ ระบบจัดการฐานข้อมูลซึ่งอาจเก็บข้อมูลเหล่านี้ลงในแผ่นจานบันทึกแม่เหล็ก เป็นระเบียน บล็อกหรืออื่น ๆ ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องรับรู้ว่าโครงสร้างของแฟ้มข้อมูลนั้นเป็นอย่างไร ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของระบบจัดการฐานข้อมูลดัง นั้นถ้าผู้ใช้เปลี่ยนแปลงลักษณะการเก็บข้อมูล เช่น เปลี่ยนแปลงรูปแบบของตารางเสียใหม่ ผู้ใช้ก็ไม่ต้องกังวลว่าข้อมูลของเขาจะถูกเก็บลงในแผ่นจานบันทึกแม่เหล็กใน ลักษณะใด ระบบการจัดการฐานข้อมูลจะจัดการให้ทั้งหมด ในทำนองเดียวกันถ้าผู้ออกแบบระบบฐานข้อมูลเปลี่ยนวิธีการเก็บข้อมูลลงบน อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล ผู้ใช้ก็ไม่ต้องแก้ไขฐานข้อมูลที่เขาออกแบบไว้แล้ว ระบบการจัดการฐานข้อมูลจะจัดการให้ ลักษณะเช่นนี้เรียกว่า ความไม่เกี่ยวข้องกันของข้อมูล (data independent) 



6.สามารถขยายงานได้ง่าย เมื่อต้องการจัดเพิ่มเติมข้อมูลที่เกี่ยวข้องจะสามารถเพิ่มได้อย่างง่ายไม่ ซับซ้อน เนื่องจากมีความเป็นอิสระของข้อมูล จึงไม่มีผลกระทบต่อข้อมูลเดิมที่มีอยู่



7 .ทำให้ข้อมูลบูรณะกลับสู่สภาพปกติได้เร็วและมีมาตรฐาน เนื่องจากการจัดพิมพ์ข้อมูลใน   ระบบ ที่ไม่ได้ใช้ฐานข้อมูล    ผู้  เขียนโปรแกรมแต่ละคนมีแฟ้มข้อมูลของตนเองเฉพาะ ฉะนั้น แต่ละคนจึงต่างก็สร้างระบบการบูรณะข้อมูลให้กลับสู่ สภาพปกติในกรณีที่ ข้อมูลเสียหายด้วยตนเองและด้วยวิธีการของตนเอง จึงขาดประสิทธิภาพและมาตรฐาน แต่เมื่อมาเป็นระบบฐาน  ข้อมูลแล้ว การบูรณะข้อมูลให้กลับคืนสู่สภาพปกติจะมีโปรแกรมชุดเดียวและมีผู้ดูแลเพียง คนเดียวที่ดูแลทั้งระบบ ซึ่งย่อมต้อง  มีประสิทธิภาพและเป็นมาตรฐานเดียวกันแน่นอน                  

 ตัวอย่างฐานข้อมูล
1.ระบบธนาคารซึ่งข้อมูลที่จัดเก็บอาจจะประกอบด้วยรายละเอียดของลูกค้า  โดยจัดเก็บชื่อ  ที่อยู่  รายการฝากเงินรายการสินเชื่อ  ยอดคงเหลือของบัญชีแต่ละประเภท

2.ระบบจองตั๋วเครื่องบิน  ซึ่งข้อมูลที่จัดเก็บอาจประกอบด้วยรายละเอียดต่างๆเกี่ยวกับแต่ละเที่ยวบิน  รายละเอียดเกี่ยวกับราคาตั๋ว  และจำนวนตั๋วที่ยังคงเหลืออยู่  พร้อมทั้งข้อมูลของลูกค้า  ซึ่งอาจจะเก็บชนิดของอาหารและหมายเลขที่นั่งที่ลูกค้าต้องการด้วย  ระบบข้อมูล ของบริษัทหนึ่งๆ อาจจะเก็บข้อมูลรายละเอียด ของพนักงานทุกคน  ข้อมูลโครงการและแผนกต่างๆ ของบริษัท  รวมถึงอาจจะจัดเก็บข้อมูลเกี่ยวกับญาติๆ ของพนักงานในบริษัทด้วยเพื่อประโยชน์ในการให้สวัสดิการแก่พนักงาน

3. ระบบการสั่งซื้อสินค้าเข้าในร้านค้า ซึ่งข้อมูลที่จัดเก็บอาจจะประกอบด้วย รหัสลูกค้า ชื่อ-นามสกุล  ที่อยู่ รหัสใบสั่งซื้อสินค้า  รหัสสินค้า   ประเภท สินค้า ราคาต่อหน่วย  เป็นต้น
___________________________________________________________
1.กำหนด Entity ทุกตัวในระบบฐานข้อมูลนั้นๆ ตัวอย่างเช่น ในระบบฐานข้อมูลการสั่งซื้อสินค้า ประกอบด้วย Entity ใบรายงานการสั่งซื้อ ลูกค้า และสินค้า
2. กำหนดคีย์หลัก และ Attribute ต่างๆ ของ Entity  สำหรับในตัวอย่างจะกล่าวถึงระบบฐานข้อมูลการสั่งซื้อสินค้า ตัวอย่าง เช่น คีย์หลักของ Entity ลูกค้า คือ รหัสลูกค้า ซึ่งเป็นAttribute ที่เรากำหนดให้เป็นคีย์หลักอยู่แล้ว ในการออกแบบระบบจริง ควรจะสอบถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ละเอียดว่า Attribute ใดสามารถเป็นคีย์หลักได้บ้าง
3. กำหนดความสัมพันธ์ระหว่าง Entity ต่างๆ เหล่านั้น สำหรับในตัวอย่างระบบฐานข้อมูลการสั่งซื้อสินค้า Entity ลูกค้า และใบรายการสั่งซื้อ จะมีความสัมพันธ์กันแบบ One-to-Many และความสัมพันธ์ระหว่างใบการสั่งซื้อ และสินค้าเป็น Many-to-Many
4. ทำการเปลี่ยน Entity ที่ได้ไปอยู่ในรูปตาราง        















4.ฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์




อ้างอิง
http://61.7.221.103/access-online/database/database1.htm

http://guru.sanook.com/enc_preview.php?id=1240&title=%B5%D1%C7%CD%C2%E8%D2%A7%B0%D2%B9%A2%E9%CD%C1%D9%C5

http://www.pcccr.ac.th/ict_parinya/Subject/Access/database.pdf

            
http://www.learners.in.th/blogs/posts/386069

http://course.eau.ac.th/course/Download/0520207/public_html/lesson01/ms2t3.htm

http://itd.htc.ac.th/st_it51/it5107/chatuporn/5139011007/5139011007_D/test2.htm

http://portal.in.th/asudah/pages/detu/

https://sites.google.com/site/thaidatabase2/1.2%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%90%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B8%A5

http://cptd.chandra.ac.th/%5Cselfstud%5Cdbsystem%5C%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%90%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3.html